วันแรก

วันแรกที่ไปถึง ก็วุ่นวายเล็กน้อยตามประสาของคนมากหน้าหลายตาต่างถิ่นต่างแดนมากองสุมกันโดยมิได้นัดหมาย (แต่โดนหมายนัดมา) โชคดีที่ทุกคนที่เข้ามาดูเข้ากันได้ดี ผูกมิตรได้ง่าย แม้ภูมิหลังจะต่างกัน แต่ทุกคนก็ดูเข้าใจความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์ได้ดี

วันแรก (๑ พ.ค. ๕๓) เป็นวันเสาร์ วันต่อมาก็เป็นวันอาทิตย์ (บอกทำไม) สองวันแรกเลยฝึกกันแบบขำๆ ถือเป็นการอุ่นเครื่อง มาเริ่มแบบจริงจังก็วันจันทร์ (๓ พ.ค. ๕๕) เพราะเป็นวันราชการ และเริ่มเข้าระเบียบเต็มรูปแบบ ทหารใหม่ก็มาครับทุกนายแล้ว (มาเพิ่มจากภาคอีสาน)

วันแรกส่วนใหญ่ก็นั่งเรียนเกี่ยวกับพวกระเบียบทหารต่างๆ ต้องจดตามคุณครูทุกตัวอักษร รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กประถมอีกครั้ง ฮ่าๆ

การเตรียมตัว

เมื่อรู้แน่แท้และแน่นอนแล้วว่าจะต้องไปเป็นทหาร ก็ต้องเตรียมตัวกันหน่อย เพราะจะต้องไปฝึกทหารใหม่เป็นเวลา 2 เดือน เป็น 2 เดือนที่จะไม่มีการติดต่อสือสารจากภายนอก ไร้ซึ่งข้อมูลข่าวสารมากระทบการรับรู้

คือตอนนี้ผมก็ยังไม่มีประสบการณ์ แต่เท่าที่สอบถามมาว่าควรจะเตรียมตัวอย่างไร ก็ได้คำตอบว่า

ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากหรอก เตรียมใจอย่างเดียว (ฮา)

ซึ่งจริงๆ ก็เป็นอย่างนั้น เพราะเขาจะไม่ให้เราอะไรไปเลย พวกของใช้ส่วนตัวเขาจะมีให้ทั้งหมด (แม้แต่กางเกงใน) ถ้าพกอะไรไป เขาก็จะให้ฝากไว้ในวันแรก (เรียกง่ายๆ ว่ายึด) แล้ววันกลับจากการฝึกค่อยเอาคืน เงินสด หรือมือถือ ก็ห้ามพก (คงกลัวทหารหนี ฮ่าๆ) แต่ผมก็ตั้งใจว่าจะเอาไปเผื่อฉุกเฉิน

พี่ทหารคนที่ผมไปถามเขาก็แนะนำว่า วันที่ไปส่งตัวทหารก็ควรใส่เสื้อผ้าเก่าๆ แบบถ้าจะทิ้งก็ไม่เสียดาย เพราะตลอดเวลาการฝึกเราจะต้องใส่ชุดที่เขามีให้ ทั้ง ชุดนอน ชุดลำลอง ชุดฝึก ชุดทหาร รองเท้า ถุงเท้า มีให้หมด อุปกรณ์อาบน้ำ แปรงฟัน โกนหนวด ก็มีให้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องเอาอะไรไปเลย มือถือถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเอาไปก็ได้ จริงๆ ก็แค่สำหรับคนที่กลัวหาย เพราะเขาจะยึด (รับฝาก) ไว้ แต่ผมก็เอาเครื่องถูกๆ เน่าๆ ไป ส่วนเงินสด ก็พกติดตัวไปสักร้อยสองร้อยก็พอ เผื่อไว้ใช้ฉุกเฉินหรือเผื่อไว้เป็นค่ารถในวันกลับ

ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้อะไรมากนัก ต้องรอพรุ่งนี้ (1 พ.ค. 2553) เสียก่อน เพราะจะเป็นวันที่ผมเดินทางไปฝึกทหารของจริง (กลับมาจะเล่าให้ฟังต่อว่าเป็นยังไง)

ใครที่สูบบุหรี่ (อย่างผม) เขาบอกเลยว่าห้ามสูบ เพราะการสูบบุหรี่จะเป็นอุปสรรคต่อการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการใช้ร่างกายหนักๆ อย่างการฝึกทหารอาจทำให้เจ็บหน้าอกได้ ผมว่าก็เป็นเหตุผลที่ดี ผมก็เลยลดและเลิกสูบบุหรี่ก่อนไป

ก็ขอเตือนเลยสำหรับคนสูบบุหรี่ ว่าทางที่ดีควรจะลด หรือเลิกไปเลยก่อนไป เพราะการไปทั้งๆ ที่ยังเลิกไม่ได้มันน่าจะทรมานเวลาเสี้ยน แต่ถ้าลดได้บ้าง อาจจะเป็นผลดี เพราะช่วงที่อยากสูบบางทีเราจะทดแทนด้วยการออกกำลังกายแบบเสียเหงื่อเยอะๆ ซึ่งจะทำให้เลิกได้ง่าย และเลิกได้ในที่สุด การฝึกทหารก็อาจทำให้เลิกบุหรี่ได้เลย หรือถ้าใครที่เลิกได้ก็ดีใจด้วย (ส่วนจะกลับไปสูบอีกหรือเปล่าก็แล้วแต่)

สำหรับผม ผมเลิกสูบก่อนไปประมาณ 3 วัน เพราะผมเคยพยายามเลิกมาครั้งหนึ่งแล้วพบว่า ช่วงแรกๆ ที่ไม่ได้สูบนั้น ร่างกายจะกระสับกระส่าย หงุดหงิดง่ายเวลาต้องใช้สมอง (เช่นเวลามีเรื่องกวนใจหรือเวลาทำงาน) แล้วกล้ามเนื้อจะกระตือรือร้นมาก ผมก็ออกไปวิ่ง แล้วก็วิ่งไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนขาล้าแทบหมดแรง แต่ก็ยังไม่หอบเท่าไร แสดงว่าปอดและหัวใจกำลังปรับตัว ซึ่งก็หมายความว่า การสูบบุหรี่นั้นเปลืองพลังงานปอดและหัวใจอย่างมาก แต่พอเลิกไปได้ประมาณอาทิตย์นึง ก็ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว นอกจากจะออกกำลังกายต่อจนร่างกายเสพติดการออกกำลังกายแทน (แต่ผมกลับเลือกกลับมาสูบ เพราะตอนนั้นแค่อยากลองเลิก ไม่ได้อยากเลิกจริงๆ)

เอาล่ะ ผมก็ไม่อยากจะโม้มากกับเรื่องฝึกทหาร เพราะยังไม่มีประสบการณ์ตรง เอาไว้จะมาให้ข้อมูลอีกทีแล้วกัน

กลายเป็นคน "ขาด" (แต่ไม่ขี้ขลาด)

ผลก็คือ ต้องเข้ารับราชการทหารกองประจำการ

ที่มาที่ไปก็คือ ปีแรกที่เกิดมาอายุ 20 ปี ผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 2 ก็ได้ไปทำเรื่องผ่อนผันการเกณฑ์ทหารช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นปกติ เพื่อให้ทางมหาวิทยาลัยส่งเรื่องไปที่สัสดีเขต พอเดือนเมษายนปีต่อไป ผมก็จะได้มีรายชื่อเป็นพวกผ่อนผัน ซึ่งไปครั้งแรกนั้นจะมีการตรวจร่างกายเหมือนคนมาเกณฑ์ทหารทั่วไป จากนั้นก็ตรวจดูรายชื่อผ่อนผันถ้ามีชื่อเราก็จะได้ "ใบผ่านการเกณฑ์ทหาร" (แบบ สด.43) มาครอง ในใบจะระบุชัดเจนว่า เรา "ผ่อนผันตามมาตรา 29 (3)" เสร็จแล้วก็กลับบ้านได้

ทีนี้นอกจากใบ สด.43 แล้ว เราก็จะได้หมายเรียกสำหรับปีถัดไป ซึ่งเราต้องไปรายงานตัวเพื่อรับหมายเรียกทุกปีแม้จะผ่อนผันก็ตาม ปีถัดไปผมก็ไปรายงานตัวปกติ

แต่อีกปีนี่สิ ด้วยความเลินเล่อ ประกอบกับเป็นช่วงชีวิตที่ไม่มั่นคง ลืมวันลืมคืน ทำให้ผมไม่ได้ไปรายงานตัว กว่าจะนึกได้ก็สองทุ่มของวันนั้นแล้ว (เขาคงจับใบดำใบแดงกันเสร็จแล้วล่ะ) งานเข้าเลยครับพี่น้อง รู้ว่าผิดกฎหมาย แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร และด้วยการที่เป็นคนเรื่อยเปื่อยก็เลยปล่อยไป

หลังจากนั้นสองเดือน สำนักงานตำรวจฯ ก็ส่งหมายเรียกผู้ต้องหามาที่บ้าน เป็นคดีความอาญา เป็นผู้ต้องหาว่า "เป็นทหารกองเกินไม่ไปแสดงตนเพื่อรับหมายเรียก" ผู้ฟ้องก็ไม่ใช่ใคร สำนักงานเขตที่เราสังกัดอยู่นั่นเอง ตอนนั้นตกใจมาก ไม่รู้จะโดนอะไร ติดคุกหรือเปล่า แล้วเรื่องเรียนล่ะ การเงินยิ่งไม่ค่อยมั่นคงอยู่ แต่ก็ต้องไปไม่งั้นคงเป็นเรื่องใหญ่อีก

พอไปถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นคนรับเรื่องและนัดให้เราไปก็อธิบาย(เกือบ)ดี แทบไม่รู้เรื่อง แต่สรุปคือต้องไปขึ้นศาลในวันเดียวกันนั้นเลย ผมก็ไปรอที่ศาล นัดกันไว้บ่ายโมง แต่กว่าพี่แกจะมาก็ล่อไปบ่ายสาม นี่ถ้าไม่ทันศาลปิดแล้วจะไปโทษใครล่ะนี่

ตอนนั่งในศาลก็ให้อารมณ์แปลกๆ ดี เพราะไม่เคยขึ้นศาลมาก่อน ถือเป็นประสบการณ์

ศาลก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเรา ผมก็ได้แต่ต้องยอมรับเพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วก็ต้องโทษจำคุก 3 เดือน แต่ให้รอลงอาญา 1 ปี คือตอนนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ได้ยินแต่ว่าจำคุกก็ตกใจกันไป แต่คุณตำรวจที่พามาก็บอกว่ารอลงอาญาก็ไม่ต้องไปติดคุกจริงๆ เหมือนเป็นการโดนทัณฑ์บน เสร็จแล้วก็ไปทำเรื่องอีกนิดหน่อยตามระเบียบขั้นตอน แต่ขั้นตอนที่สำคัญก็คือเราต้องคัดคำฟ้อง หมายถึงขอสำเนาเกี่ยวกับคดีของเรา เอาไว้เป็นหลักฐานว่าศาลตัดสินแล้ว คดีสิ้นสุดแล้ว

ความตกใจยังไม่หายไปไหน เมื่อคุณตำรวจบอกว่า อาจจะผ่อนผันไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็งานเข้าเลย ที่ผมกังวลก็ไม่พ้นเรื่องเรียนล่ะ เพราะผมลงเรียนไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา ไหนจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวการเปลี่ยนหลักสูตรอีก กังวลไปต่างๆ นานา

แต่แล้วปีถัดไปที่ไปรายงานตัว ก็ไม่มีปัญหาอะไร ชื่อผมยังอยู่ในบัญชีคนผ่อนผันอยู่ และยังผ่อนผันต่อไปตามปกติ (จนถึงอายุ 26)

เพียงแต่ว่า พอพ้นสิทธิ์ผ่อนผัน หรือสละสิทธิ์เอง จะไม่มีสิทธิ์จับใบดำใบแดง ต้องเป็นทหารทันที
อันนี้ผมก็ไม่กลัวหรอก เพราะผมก็วางแผนไว้ว่าพอเรียนจบก็จะสมัครเป็นทหารอยู่แล้ว เพียงแต่ระยะเวลามันเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา จะ 6 เดือน หรือ 1 ปี ก็ไม่ต่าง เพราะเป้าหมายผมอยู่ที่การฝึกทหารใหม่ช่วง 2 เดือนแรก

สิ่งที่กังวลก็แค่ กลัวจะผ่อนผันต่อไม่ได้ ซึ่งมันจะส่งผลกระทบอย่างแรงต่อระบบการเรียนที่ผมวางแผนไว้

ส่วนหน้าที่และสิทธิของผู้ผ่อนผันโดยทั่วไปนั้น ตามที่เขาบอกไว้ก็มีแค่ว่า สามารถสละสิทธิ์ผ่อนผันได้ภายใน 12.00 น. และเมื่อจบการศึกษา หรือออกจากสถานศึกษาเดิม ต้องแจ้งต่อสัสดีภายใน 30 วัน มิฉะนั้นจะมีความผิดอาญา (อีกแล้ว) แต่ตอนที่ผมจบ ผมก็ไม่ได้ไปแจ้ง ก็ไม่เห็นมีอะไร แถมยังผ่อนผันต่อได้อีกตั้ง 2 ปี (อันนี้ไม่รู้จริงๆ เขาอาจจะอะลุ่มอะหล่วย แต่ไม่ชัวร์ก็อย่าทำแบบผมเลย ทำตามระเบียบกฎหมายเถอะ)